ทุกข์และสุข
15:02 - 19 พฤศจิกายน 2563 (แก้ไขล่าสุด 22:06 - 20 พฤศจิกายน 2563)
คำพูดที่ว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ไม่ได้เป็นการปฏิเสธว่า ที่นั่นไม่มีสุขแต่เป็นการชี้ให้เห็นความจริงอีกแง่หนึ่งที่คนเรามักมองข้ามไป คือ มักเห็นแต่ว่า ความรักทำให้เป็นสุข การมองเห็นความรักแต่แง่เดียว ทำให้คนเราไม่รู้จักเตรียมใจรับมือกับความทุกข์ โดยเฉพาะเมื่อเกิดความไม่สมหวังขึ้นมาพระพุทธเจ้ามิได้ปฏิเสธความ รักของปุถุชน แต่ทรงเห็นว่ามันเป็นสุขที่เจือด้วยทุกข์ เช่นเดียวกับ กามสุข ซึ่งทรงเปรียบเสมือนคบไฟที่ทำด้วยหญ้าแห้งแม้จะให้แสงสว่าง แต่ก็มีควันที่ระคายเคือง บางครั้งก็เปรียบคนที่เพลินใน กามสุข ว่า เหมือนกับคนถือคบเพลิงทำด้วยหญ้าแห้งเดินโต้ลม หากไม่รู้จักวาง ก็จะโดนไฟไหม้มือและอวัยวะต่าง ๆ อย่างไร ก็ตามหากพูดถึงสัดส่วนแล้ว ทุกข์นั้นมีมากกว่าสุขเป็นเพราะเหตุนี้พระพุทธองค์จึงส่งเสริมให้เรามีความรักที่ประณีตขึ้น นั่นคือ เมตตาหรือกรุณา เพราะเป็นความรู้สึกที่เจือด้วยกิเลสน้อย มุ่งประโยชน์สุขของอีกฝ่ายยิ่งกว่าผลประโยชน์ของตนเอง ไม่ปรารถนาการครอบครอง หากเรามีความรักแบบนี้มาก ๆ เราจะทุกข์น้อยลง นอกจากเราจะเป็นสุขแล้ว ยังทำให้อีกฝ่ายเป็นสุขอย่างแท้จริงด้วยสรุปก็คือความรักเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตก็ จริง แต่เราก็ต้องเห็นมันตามความเป็นจริง ว่ามันให้ทั้งสุขและทุกข์ อีกทั้งยังมีความรักที่ประเสริฐกว่าเสน่หา นั่น คือเมตตากรุณา่ยิ่งเป็นเมตตากรุณาของพระอริยเจ้าด้วยแล้ว ยิ่งให้แต่สุข ปราศจากทุกข์ เพราะไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรเช่น ล้มหายตายจากไป หรือทำตัวไม่น่ารัก ท่านก็วางอุเบกขาได้ ขณะเดียวกันเมตตากรุณาก็ไม่ได้ลดลง ดังที่ พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงมีเมตตาต่อพระเทวทัตเท่ากับที่ทรงมีต่อ พระราหุล พระอาจารย์ ไพศาล วิสาโล 19 พฤศจิกายน 2563 วันพฤหัส คอมเม้นต์
กรุณา "เข้าสู่ระบบ" ก่อนคอมเม้นต์
|
บล็อกโปรด
|