หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ

สมุดเยี่ยมของ มิตตา

เขียนข้อความลงสมุดเยี่ยม
กรุณา "เข้าสู่ระบบ" ก่อนคอมเม้นต์
<< Prev 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 .. 29 Next >>
โดย : LaDy Galadriel 23:03 - 9 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ
โดย : nic 22:45 - 8 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
ตั้งสติไว้ให้มั่นคงครับ การปฏิบัติของน้องมิตกำลังเจริญก้าวหน้า ถ้าน้องมิตตั้งสติให้แกร่งไม่ให้หวาดกลัวได้ นิมิตมันก็จะนิ่ง และเป็นเครื่องอยู่ของจิตครับ เอาความรู้สึกทั้งหมดจับไว้ที่ตัวรู้ครับ ร่างกายจะหายหรือเป็นอะไรช่างมัน..(จริงๆแล้วมันไม่เป็นอะไรหรอกครับ) เคยได้ยินครูบาอาจารย์กล่าวไว้ไหมครับ!"ของจริง..มันอยู่ฟากตายโน่น" ท่านหมายถึง..ถ้าเราข้ามความรู้สึกกลัวตายไปได้ เราก็จะถึงฝั่งที่เราปรารถนาครับ น้องมิตก้าวหน้าเร็วกว่าพี่..ในช่วงเวลาที่พี่มีอายุรุ่นเดียวกันนี้นะครับ
โดย : รักอิสระ...ชอบท่องเที่ยว 12:29 - 8 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
แวะมาทักทายค่ะ
โดย : nic 11:42 - 8 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
ก็แน่ละครับ.. ก็หลวงพ่อฤาษีน่ะ.. นอกจากท่านจะเป็นนักปฏิบัติแล้ว ท่านยังเป็นพระนักเทศน์ด้วย.. มีดีกรีเป็นถึงมหาเชียวแหละ จะไม่ให้ติดได้อย่างไร พี่เองยังชอบเลย แต่ก็นะ!..ทางนั้นไม่ใช่แนวทางของพี่ พี่เลยเลิกล้มไป
โดย : nic 22:33 - 7 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
นี่..ไง คือปัญหาละ มิตบริโภคข้อมูล คือความรู้ภาคทฤษฎีมามาก จิตมันเลยไม่เป็นหนึ่ง มิตต้องพิจารณาเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งนะ แล้วทำให้ถึงที่สุด พี่แนะนำให้ใช้อานาปานะสตินะ เพราะอานาปานะสติเปรียบเหมือนแม่ของกรรมฐานทั้งปวง เมื่อชำนาญในอานาปานะสติแล้ว จะฝึกกรรมฐานกองไหนก็ไม่ยาก และอานาปานะสติก็เป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะเจ้าทั้งหลายด้วยครับ
โดย : เเอร์เอง 21:48 - 7 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
บร้ะ! ฝันดีครับมิต ^ ^
โดย : เเอร์เอง 21:35 - 7 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
ยังอยู่ข้างๆมิตเสมอครับ ^ ^ กำลังพยายามอยู่ครับเเต่ว่ามีอยู่ครั้งนึงไม่เข้าใจว่าทำสมาธิอยู่ดีๆเเล้วรู้สึกอึดอัดมากหายใจถี่ขึ้นเป็นอะไรก้อไม่รู้เลยออกจากสมาธิเลย
โดย : nic 20:21 - 7 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
ในขณะที่นิมิตเกิดอยู่..จะมีตัวที่รับรู้ในสิ่งที่เห็น..ก็คือตัวเรานั่นแหละ.. เอาตัวรู้จับที่ตัวรู้นั้นแหละ สิ่งที่ออกมาจากจิตที่ปรุงแต่ง..จะกลับคืนหมด ถ้าเปรียบเหมือนโทรศัพท์ ก็คือการคืนการตั้งค่าเดิมแหละครับ มันอธิบายยากนะ มันละเอียดอ่อนมาก
โดย : nic 19:47 - 7 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
น้องมิตครับ ตอนแรกพี่ตอบคำถามนี้ทางข้อความแล้ว แต่มันส่งไม่ได้ ไม่รู้ว่าระบบเป็นอะไรอีก พี่เลยมาตอบในนี้ครับ

น้องมิตไม่ต้องสนใจเรื่องอาการของจิตว่าจะมีปีติหรือไม่นะครับ เป็นเพราะน้องมิตไปติดความรู้ในตำรามากไป จึงเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติครับ นิมิตที่เกิดส่วนใหญ่ เกิดจากสังขารปรุงแต่งจิต มันทำงานซับซ้อนมาก วิธีแก้...ให้เพ่งเข้าไปที่จุดศูนย์กลางของผู้รู้(ตัวเรา) นิมิตมารก็จะหายนะครับ "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ...ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน" ข้อความนี้ปรากฏ..พี่จึงถ่ายทอดมาให้น้องมิตครับ เจริญสุขในธรรมนะครับ.
โดย : รักอิสระ...ชอบท่องเที่ยว 06:50 - 7 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
ทักทายค่ะ.....ขอให้เป็นวันอังคารทีมีแต่...ความสุขนะจ้ะ
โดย : nic 02:19 - 7 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
จริงๆแล้ว..ที่ไปไม่ได้นั่น เป็นเพราะเรายังไม่มีความชำนาญในการปรับจิตให้เหมาะกับภพภูมิที่จะไปครับ(พี่มารู้เอาทีหลัง..นานมาก) คือการที่เราจะไปในภพภูมิใด เราจะต้องปรับคลื่นความถี่ของจิตให้ตรงกับภูมินั้นๆจึงจะเข้าไปได้ ตรงนี้พี่ยังไมอธิบายนะ ไว้ให้น้องมีประสบการณ์บ่อยๆน้องจะเข้าใจเองครับ พูดไปในตอนนี้ น้องก็เอาสัญญาเข้าไปยึดติดอีก การปฏิบัติจะไม่ก้าวหน้าครับ
โดย : nic 19:33 - 6 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
วันนี้พี่มาเล่าเรื่องการปฏิบัติธรรมต่อนะครับ..

....การที่กายทิพย์ออกจากร่าง..ว่าไปแล้ว พี่ว่าเหมือนกับการฝันไปนะ!..เพียงแต่คนที่ฝันโดยทั่วไป เขาไม่รู้ว่าออกมายังไง แต่เรา..ฝึกสติสัมปชัญญะอยู่ จึงเห็นกายทิพย์ของเราขณะออกจากร่างก็เท่านั้นเอง และที่พิเศษไปกว่าการฝันของคนอื่นคือ เรามีสติรู้ตัวตลอดการฝันของเรา หลังๆการออกไปท่องเที่ยวของจิต(กายทิพย์) จึงไม่ใช่เรื่องพิศดารอีกต่อไป อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากกายทิพย์ออกจากร่างแล้ว และไม่มีอาการหมุนแล้วเพราะเริ่มรู้ทาง จึงคิดว่า..ไหนๆก็ออกมาได้แล้ว จะขอไปเที่ยวชมสวรรค์ซะหน่อยหนึ่ง พี่จึงอธิฐานจิตขอเข้าชมสวรรค์ชั้นจาตุม..ปรากฎว่าจิตมีอาการยกตัวสูงขึ้น(พี่หลับตาอยู่) เหมือนเราอยู่ในลิฟ แล้วลิฟมันยกตัวขึ้นน่ะครับ พอรู้สึกว่าจิตมันหยุด พี่ลืมตาขึ้น เห็นเป็นกำแพงสูงท่วมหัว ลักษณะคล้ายวัดพระแก้ว แต่สูงกว่ามาก พี่เข้าไปข้างในไม่ได้ จิตมีคำตอบออกมาว่า..กำลังจิตไม่พอ แล้วความรู้สึกของพี่ก็คืนกลับเข้าร่างครับ

...นี่..เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ของการออกไปเที่ยวครับ
โดย : รักอิสระ...ชอบท่องเที่ยว 07:01 - 6 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
สุขสัน..วันจันทร์ น่ะค่ะ
โดย : nic 16:49 - 5 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
ขณะที่น้องเห็น..ตัวจิตรู้มันมาอยู่ที่ความรู้สึกเฉพาะตัวเราใช่ไหม มันละลมหายใจมารู้อยู่เฉพาะตัวหรือเปล่า? ถ้าเป็นอย่างนั้นสิ่งที่เห็นจะเหมือนเราดูหนัง4มิติอยู่ คือเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเรามีความรู้สึกร่วมในเหตุการณ์นั้นๆด้วย โดยที่เราก็ยังเป็นผู้รู้ที่จ้องดูเหตุการณ์นั้นอยู่..น้องเป็นอย่างนั้นไหม?
โดย : nic 13:20 - 5 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
ปฏิภาคนิมิตนี่ยังไม่เป็นฌานครับ ยังเป็นแค่ระดับอุปจาระอยู่ นิมิต..จะไม่เกิดในฌานครับ นิมิตนี่จะอยู่ในระดับภวังคจิต คือจิตอยู่ในภวังค์จึงจะเห็นนิมิตครับ ที่จริง..นิมิตกับฝันนี่มันเป็นอาการอย่างเดียวกัน คืออาการของจิตที่ลงภวังค์ แล้วท่องเที่ยวไปในภูมิของจิต ฉนั้น..สิ่งที่เห็นจึงมีทั้งจริงและไม่จริง แต่ส่วนใหญ่ ถ้าเป็นภูมิจิตของปุถุชนอย่างเราจะเป็นมายาภาพที่จิตปรุงแต่งขึ้นซะมากกว่า อย่าไปยึดติดมันมากนะครับ เดี๋ยวจะหลงทางซะเปล่าๆ
โดย : nic 09:16 - 5 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
สิ่งที่น้องมิตเห็นนั่น เป็นปฏิภาคนิมิตขององค์กสิณพระพุทธรูปครับ พี่ถึงบอก..ถ้าจิตไม่เข้มแข็งจริงๆไม่ควรฝึกกสิณ เพราะทำให้เกิดความกลัวและอาจวิปลาศได้ แต่ถ้าน้องทำได้ถึงขั้นนั้น..อย่ากลัวครับ นั่นเป็นเพียงภาพนิมิต ถ้าเห็นแบบนั้นอีก ให้คุมสติให้มั่นคงแล้วเพ่งดูเฉยอยู่ ตั้งปณิธานไว้ว่า..ตายเป็นตาย ถ้าจะตายเพราะการปฏิบัติธรรม ก็ขอมอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเถิด ถ้าจิตน้องมั่นคงดีแล้วอาการหมุนมันจะหยุด มันเหมือนตอนที่พี่ถอดกายทิพย์ได้ใหม่ๆนั่นแหละ และเมื่อนิมิตนั้นหยุดคงที่แล้ว ให้อธิษฐานย่อให้เล็กลง และหัดเคลื่อนย้ายองค์นิมิตให้ชำนาญ นี่คือการฝึกวสี..คือความชำนาญในการใช้กสิณครับ เมื่อย่อ..ขยาย..เคลื่อนย้ายได้ดังใจปรารถนาแล้ว ให้ย่อองค์กสิณเข้ามาอยู่ที่ศูนย์กลางกาย นี่คือการฝึกวิชชาธรรมกายครับ วิชชาธรรมกาย เป็นอาโลกกสิณ+กสิณพระพุทธรูป ผู้สำเร็จวิชชาธรรมกาย จะได้มโนยิทธิ และทิพยจักษุด้วย
โดย : nic 08:25 - 5 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
โห..กดซ้ำ..มันเลยมาสองอันเลย ยาวมากไปลบออกอันนึงนะครับ เปลืองเนื้อที่ป่าวๆครับ
โดย : nic 08:19 - 5 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
สาธุ..ดีแล้วครับน้องมิต ขอให้เจริญในธรรมครับ

...มาต่อกันเลย พี่ทำสมาธิในแบบอานาปานะสติทุกวันในเวลาก่อนจะนอน ด้วยการกำหนดดูลมหายใจเข้าภาวนา..พุทธ ลมหายใจออกภาวนา..โธ ทำอย่างนี้ไปสักพัก จิตจะละคำภาวนาเอง ปรากฏอาการของปีติซาบซ่านขึ้น มีอาการขนลุกพอง บางครั้ง..กายโยกโคลงไปม บางครั้งกายเบาเหมือนลอยได้ ซึ่งจะต่างจากช่วงแรกๆที่นั่งนานไปก็จะปวดเข่า ปวดขา ขาชา ง่วงหลับไปก็มี แต่พอปีติเกิด ก็รู้สึกติดในสมาธิ พอคลายจิตออกมาก็รู้สึกเป็นสุขอิ่มเอิบ นี่แหละหนอ..ตัวบุญหล่ะ! พี่ติดสุขในสมาธิอยู่นานทีเดียว เพิ่มเติมนิด..ที่พี่เลือกฝึกอานาปานะสติ เพราะอานาปานะสตินี่ปลอดภัยสุด สำหรับผู้ฝึกที่ไม่มีอาจารย์ดูแลให้คำแนะนำ กสิณนั้นหากไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยแก้จิตให้ อาจหลงติดนิมิตทำให้จิตวิปลาศได้ พี่เลยไม่กล้าฝึกกสิณครับ มาต่อเรื่องอานาปานะสติครับ สมาธิพี่ก้าวหน้าเป็นลำดับ แต่เป็นไปแบบช้าๆ มีความแนบแน่นมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ จนความรู้สึกทางกายเกือบไม่มี จิตดิ่งทรงตัวอยู่อย่างนั้น อยู่จนพอใจ พอนึกจะออกจิตก็คลายตัวออก มีอยู่วันนึง พี่อยากรู้ว่าเวลาฝันนี่..มันเป็นยังไงนะ ไอ้ที่มันฝันไปนั่นไปนี่น่ะ มันจะเป็นอย่างไร พอพี่ทำสมาธิตามปกติแล้ว พี่ก็คลายจิตออกมาที่ระดับอุปจาระ(ตอนนี้รู้ระดับจิตแล้ว) แต่ไม่ออกในทันที พี่ประคองจิตไว้ที่อุปจาระ..แล้วเอนกายลงนอนในท่าที่สบาย แต่ยังทรงจิตในสมาธิไว้ สักพักมันวูบดิ่งไปแบบจะเผลอหลับแต่ไม่หลับ ปรากฏมีอีกกายซ้อนขึ้นมา ความรู้สึกจากช่วงบนเริ่มหายไปจนหมดตลอดเท้า ไปปรากฏความรู้สึกที่อีกกายที่ปรากฏขึ้น นี่คือการถอดกายทิพย์นั่นเอง แต่พอหลุดออกมาแล้วพี่ยังตั้งหลักไม่ได้ มันตื่นเต้นเคว้งคว้าง กายหมุนติ้วแบบไร้น้ำหนัก คือยืนไม่ติดพื้น เป็นแบบนี้สักพัก..ความรู้สึกก็กลับเข้าร่าง พี่รู้สึกตื่นเต้นมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้เพียงแค่ออกไปแล้วไม่ทันได้ไปไหนก็ตาม ความตั้งทีแรกที่ฝึก เพราะอยากมีตาทิพย์ แต่สิ่งที่ได้กลับกลายเป็นการถอดกายทิพย์ออกท่องเที่ยว เหมือนพวกเล่นมโนยิทธินั่นแหละครับ ตาทิพย์กับมโนยิทธิต่างกันตรงที่ ตาทิพย์นั่งอยู่กับที่ แต่ภาพเปิดออกให้เห็นตามจิตที่อธิษฐาน ส่วนมโนยิทธินี่ถอดกายทิพย์ออกท่องเที่ยวเลย มันจะเหมือนความฝันนั่นแหละครับ แต่มันชัดเจนมากกว่า มีสติรู้ตัว และควบคุมตัวเองได้ ส่วนความฝันนั้นชัดเจนบ้างไม่ชัดเจนบ้าง สะเปะสะปะ ควบคุมตัวเองไม่ได้ พี่เป็นอยู่อย่างนั้นหลายครั้งครับ..ที่ออกไปแล้วไปไหนไม่ได้ หมุนติ้วๆอยู่น่ะ...

วันนี้พักแค่นี้ก่อนครับ พี่ต้องทำงานแล้ว เดี๋ยวตอนหน้า จะเล่าให้ฟังว่าได้ออกไปเที่ยวไหนบ้าง
โดย : เเอร์เอง 08:00 - 5 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
สวัสดีตอนเช้าๆครับคุณมิต ขอให้มีความสุขทั้งวันคับ
โดย : nic 04:37 - 5 กุมภาพันธ์ 2555 ลบ
วันนี้พี่หลับไปตื่นนึงแล้ว จึงเข้า
มาเล่าประวัติการปฏิบัติธรรมต่อนะครับ..

...หลังจากศึกษาแนวปฏิบัติของมโนยิทธิแล้ว ก็ทราบว่าต้องไปฝึกกับครูบาอาจารย์ก่อน โดยให้เราทำสมาธิขั้นพื้นฐานให้ได้ แล้วอาจารย์จะใช้พลังจิตที่เหนือกว่าคุมเราขึ้นไป เพื่อให้รู้จักแนวทาง ดูแล้วเหมือนการสะกดจิตยังไงยังงั้นเลยครับ การรู้การเห็นไม่ได้เกิดเองตามสติปัญญาของเรา พี่พิจารณาดูแล้ว ไม่ใช่แนวทางของพี่ พี่เลยเลิกศึกษาแนวมโนยิทธิอีกเลย ต่อจากนั้น..พี่หันมาศึกษาการสอนในแนวทางต่างๆของครูบาอาจารย์หลายท่านผ่านตัวหนังสือ เพราะชีวิตพี่ต้องลำบาก ทำงานตั้งแต่เด็ก ไม่มีโอกาสไปเสาะหาครูบาอาจารย์ที่ไหน จนกระทั่ง..พี่มาพบประวัติและธรรมคำสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พี่รู้สึกศรัทธาในตัวท่านมาก..และพี่มาทราบภายหลังว่า.."ศรัทธา..เป็นมารดาเลี้ยงธรรมให้งอกเงย" ฉะนั้น..จะปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้าต้องปลูกศรัทธาให้เกิดมีขึ้นเสียก่อน หลังจากนั้นพี่ก็ฝึกอานาปานสติ โดยมีคำภาวนาว่า"พุทโธ"กำกับมาโดยตลอด มีพระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ใหญ่ มีหลวงปู่มั่นเป็นอาจารย์แม่แบบ โดยที่พี่ไม่มีโอกาสเห็นตัวตนของอาจารย์ทั้งสองเลย พี่ฝึกมาเรื่อยๆด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาในแนวปฏิบัติที่เลือกแล้ว สำคัญมากนะ! เมื่อเลือกแล้ว..ต้องมั่นคงในแนวทางที่ตัวเองเลือก อย่าเปลี่ยนไปเปลี่นมา เพราะนั่นแสดงถึงความโลเลไม่มีความมั่นคงในจิต ...ด้วยการที่เข้าไปตั้งค่าไว้ในจิตว่าต้องฝึกให้มีตาทิพย์ให้ได้ จึงเป็นอุปสรรคในการเจริญสมาธิ เพราะนั่นเป็นกามฉันทะขั้นละเอียด เป็นนิวรณ์ขวางการปฏิบัติฌานไม่ให้บรรลุได้ แต่ตอนนั้นพี่ไม่รู้ มารู้เอาตอนหลัง(ผ่านจุดนั้นมาแล้วถึงรู้) พี่จะนั่งสมาธิตอนก่อนนอนทุกวัน พี่เป็นคนขี้เกียจสวดมนต์มาก คือพี่ไม่รู้เหตุผลในการสวดมนต์ว่าเขาสวดกันทำไม(ในตอนนั้น) คือ..นิสัยพี่น่ะ!..ถ้าทำโดยไม่รู้เหตุผลพี่จะไม่ทำ แต่พี่ก็จะสวดมนต์บ้างเป็นบางครั้งนะ เพราะอย่างน้อยสิ่งนั้นก็เป็นสิ่งดีถึงจะไม่รู้เหตุผลก็ตาม สมาธิของพี่ก็ตั้งมั่นดีพอสมควร โดยไม่รู้ว่าเป็นฌานหรือไม่!..สมาธิกับฌาน..ต่างกันอย่างไร(ในตอนนั้น) พี่ฝึกมานานหลายปีก็ไม่มีอะไรนอกจากความสงบ และปีติสุขในบางครั้ง ใครๆในที่ทำงานเค้าหาว่าพี่น่ะบ้า (พี่พักในที่ทำงานครับ) ส่วนพี่ชายที่ทำงานอยู่ด้วยกันก็เตือนว่า"มึงฝึกโดยไม่มีอาจารย์..ระวังจะเป็นบ้านะ!"..หึหึ..นั่นคือคำเตือนของพี่ชายผู้หวังดีของพี่ครับ..

วันนี้..พี่พักไว้เท่านี้ก่อนครับ เดี๋ยวว่างๆจะมาต่อใหม่ อ้อ..น้องมิตครับ หากน้องมิตจะเอาประวัติการปฏิบัติธรรมของพี่ลงในบล็อกสเปซของน้องเพื่อความต่อเนื่องในการอ่านทบทวน พี่ก็ยินดีและอนุญาตนะครับ แต่พี่ไม่อยากลงในสเปซพี่ เพราะมีหลากหลายผู้คนที่ต่างแนวคิดเข้ามา หากมีบางคนที่ไม่ศรัทธาเชื่อถือในธรรม เขาก็จะปรามาสเอาได้ จะเป็นบาปกับเขาเปล่าๆครับ
<< Prev 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 .. 29 Next >>